®

Magic Hand Treatment Your best you is waiting!

ประวัติผู้บำบัด

พลังบำบัดเรกิคืออะไร?

พลังงานเป็นสิ่งละเอียดที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พลังบำบัดเรกิจัดเป็นพลังงานประเภทหนึ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่อาจสัมผัสรับรู้ได้ในขณะที่ทั่วทั้งร่างกายผ่อนคลายและจิตใจว่างเปล่าเหมือนพลังงานประเภทอื่นๆ ขณะเดียวกันก็ส่งผลต่อการขจัดความทุกข์ของผู้ที่ได้รับทั้งด้านร่างกายและจิตใจอย่างมีประสิทธิภาพ พลังงานนี้ถูกค้นพบที่ประเทศญี่ปุ่นโดย ดร.มิคาโอะ อูซูอิ โดยจะไหลผ่านนักบำบัดไปยังตำแหน่งที่ผู้รับมีอาการของโรคภัยไข้เจ็บหรือตำแหน่งที่พลังงานในร่างกายอุดตันโดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้รับผ่อนคลาย ความเครียดลดลง มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงขึ้น จุดเด่นของพลังบำบัดชนิดนี้ที่แตกต่างจากพลังบำบัดประเภทอื่นคือ ผู้รับจะได้รับการบำบัด ไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ไม่ว่าเขาจะสัมผัสพลังงานได้หรือไม่ได้ก็ตาม และไม่ว่าเขาจะนับถือศาสนาใดก็ตาม ซึ่งโดยปกติแล้วข้าพเจ้าสามารถสัมผัสพลังงานที่ไหลผ่านออกไปได้อย่างชัดเจนในทุกตำแหน่งที่ข้าพเจ้าวางมือบนตัวผู้รับทุกคนทำให้ข้าพเจ้าไม่มีความสงสัยในเรื่องนี้อีกต่อไป จากประสบการณ์การบำบัดให้ผู้คนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 ผู้ที่เคยรับการบำบัดด้วยพลังงานเรกิจากข้าพเจ้าจำนวนราว 80-90% สามารถสัมผัสพลังงานที่เข้าไปบำบัดในร่างกายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สังเกตการไหลของพลังงานขณะรับการบำบัดอยู่จะสัมผัสพลังงานได้ชัดเจนกว่าผู้ที่ไม่ได้สังเกต ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 10-20% แม้จะสัมผัสพลังงานไม่ได้แต่พวกเขารู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเองเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นภายในครั้งที่ 1-5 ที่ได้รับการบำบัด เช่น ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายรู้สึกโล่งขึ้นหรือหายปวดเนื่องจากพลังงานที่อุดตันในส่วนนั้นได้ถูกขจัดออกไป ดังนั้นพลังบำบัดเรกิจึงเหมาะสมและใช้ได้ผลดีกับมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีระบบความเชื่อแบบใดก็ตาม


พลังบำบัดเรกิสามารถใช้ร่วมกับยาหรือการรักษาแบบแผนปัจจุบันอื่นๆ ได้ เช่น หลังการผ่าตัดหรือเคมีบำบัด ซึ่งนอกจากจะไม่รบกวนแทรกแซงการรักษาที่กำลังรักษาอยู่แล้ว ยังช่วยให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟูให้หายเร็วขึ้น อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดกระบวนการขับพิษออกจากร่างกาย(Detoxification)ได้อีกด้วย พลังบำบัดเรกิเป็นที่รู้จักและยอมรับโดยทั่วไปในหลายประเทศในฐานะที่เป็นการแพทย์ทางเลือกแขนงหนึ่ง ปัจจุบันมีโรงพยาบาลมากกว่า 60 แห่งในประเทศอเมริกาที่มีบริการบำบัดด้วยเรกิ เช่น Northern Westchester Hospital, Concord Hospital, Portsmouth Regional Hospital, Boston Children Hospital, Dana-Farber Cancer Institute หรือโรงพยาบาลในประเทศอังกฤษ เช่น South Tees Hospitals, University College London Hospitals ฯลฯ และยังไม่รวมถึงโรงพยาบาลหลายแห่งในอีกหลายประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ แคนาดา เบลเยี่ยม อาร์เจนตินา อียิปต์ แอฟริกาใต้ เป็นต้น (ข้อมูลจาก The Center for Reiki Research Including Reiki in Hospitals) นอกจากนี้ เรกิยังได้รับการคุ้มครองจากบริษัทประกันชีวิตและสุขภาพในหลายประเทศให้ผู้รับการบำบัดสามารถเบิกค่าใช้จ่ายที่ใช้ในโรงพยาบาลได้อีกด้วย

นอกเหนือจากให้ผลด้านสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้น พลังบำบัดเรกิยังช่วยให้ผู้รับผ่อนคลาย ลดความกังวลและปัญหาด้านอารมณ์ต่างๆ ก่อให้เกิดความสงบสุขจากภายใน ปรับสมดุลร่างกายและสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง อีกทั้งยังทำให้ผู้รับสามารถเห็นและเข้าใจตนเองได้มากขึ้นเพื่อพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณต่อไปด้วย


โดยทั่วไปการบำบัดด้วยพลังงานเรกิในแต่ละครั้ง นักบำบัดจะใช้เวลาประมาณ 45-90 นาทีในการวางมือ ณ ตำแหน่งต่างๆ ของร่างกายผู้รับตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า โดยแต่ละจุดที่วางมือจะใช้เวลาราว 3-5 นาที หรือจนกว่าพลังงานจะหยุดไหล (นั่นหมายความว่าทุกตำแหน่งที่ข้าพเจ้าวางมือจะมีพลังงานไหลเข้าไปบำบัดร่างกายผู้รับ และข้าพเจ้าจะเปลี่ยนตำแหน่งการวางมือในทันทีที่พลังหยุดไหล) ซึ่งผู้รับการบำบัดจะรู้สึกสงบสบาย ผ่อนคลาย และไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดใดๆ ทั้งสิ้น

ชื่อ: ชาญ สุธีรชัย

ประสบการณ์การทำงาน: อาจารย์ชาญเป็นหนึ่งในปรมาจารย์เรกิ(Reiki Master Teacher)คนแรกๆ ของประเทศไทย ที่เริ่มต้นฝึกฝนเรกิตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 และมีประสบการณ์บำบัดช่วยเหลือผู้คนมากว่า 500 เคส ตลอดระยะเวลากว่า 7 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งเปิดสอนหลักสูตรเรกิให้ผู้ที่สนใจสามารถใช้พลังบำบัดตนเองและผู้อื่นได้ด้วย โดยผลลัพธ์ของเรกินั้น มีลูกศิษย์ของอาจารย์ชาญในหลายสาขาอาชีพตั้งแต่ หมอ วิศวกร เจ้าของกิจการ โค้ช นักเรียน นักศึกษา พนักงานประจำ ฯลฯ รายงานมาว่าพวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในหลายพื้นที่ เช่น ความรัก ความสัมพันธ์ การเงิน การเรียน การทำงาน สุขภาพ ความมั่งคั่ง ความสุข ความสงบในใจ เป็นต้น

ประวัติการศึกษา:
ปริญญาตรี - วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เกียรตินิยม)
ปริญญาโท - MSc Applied Mathematics, Imperial College London; The World's Top 5 University(ข้อมูลจาก Times Higher Education-QS World University Rankings ปี 2007, 2009 และ QS Intelligence Unit ปี 2007, 2013 และ 2014)

จุดเริ่มต้นของการเดินเส้นทางสายนี้: นับถอยหลังจากปี พ.ศ.2557 ก่อนหน้านี้ราวๆ 5-6 ปี ข้าพเจ้าเริ่มเป็นภูมิแพ้หายใจติดขัด จึงได้เริ่มปรึกษาหมอหู คอ จมูกรักษาเรื่อยมา จากนั้นตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา ข้าพเจ้ามีอาการปวดขากรรไกรตลอดทั้งวันจากการกัดฟันโดยไม่รู้ตัวในขณะนอนหลับ อีกทั้งตาแห้งระคายเคืองและปวดตาอยู่บ่อยๆ ปวดปัสสาวะถี่ ปวดแขน มือและนิ้วมือ และเกิดอาการขี้หนาวขึ้นมาทั้งที่แต่ก่อนเป็นคนขี้ร้อน จึงคิดว่าร่างกายตนเองน่าจะมีความผิดปกติบางอย่าง ข้าพเจ้าจึงได้พยายามหาทุกวิถีทางที่จะรักษาอาการเหล่านี้ให้หายไป แต่ไม่ว่าจะไปหาแพทย์ที่ใดก็ล้วนแล้วไม่หายจากอาการเหล่านี้ทั้งสิ้น


​​โรคภูมิแพ้: ข้าพเจ้าได้ปรึกษาแพทย์หู คอ จมูกท่านหนึ่งที่เก่งมากๆ ในโรงพยาบาลเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง คุณหมอได้นำภาพส่วนตัดภายในของใบหน้ามนุษย์มาให้ข้าพเจ้าดูและอธิบายอย่างละเอียดถึงอาการที่ข้าพเจ้าเป็นอยู่ว่าเกิดจากอะไรและจะรักษาให้หายได้อย่างไร และสั่งยาพ่นจมูกและยารับประทานให้ข้าพเจ้า โดยคุณหมอยืนยันแน่นอนว่าข้าพเจ้าจะหายภายใน 6 เดือน แต่เมื่อเกินระยะเวลา 6 เดือนและใช้ยาพ่นจมูกและยารับประทานต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนล่วงเวลาไปถึง 2 ปีก็ยังไม่หายและมีอาการแย่ลงเรื่อยๆ ทั้งที่ข้าพเจ้าปฏิบัติตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัดไม่เคยขาดทั้งทานยาและพ่นจมูก เมื่อทบทวนดูแล้วว่าเราเสียเงินและเวลามากมายแต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจเลิกยาอย่างเด็ดขาดทั้งยาพ่นและยารับประทาน แล้วไปฝึกโยคะสัปดาห์ละ 3 วันแทน ปรากฏว่าราว 3 เดือนหลังจากนั้น อาการภูมิแพ้เริ่มหายไปและหายใจโล่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทั้งที่ข้าพเจ้ามิได้ใช้ยาอะไรเลย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มเอะใจว่าร่างกายของคนเราน่าจะสามารถฟื้นฟูรักษาตัวเองได้ด้วยแม้จะไม่ได้ใช้ยาใดๆ ก็ตาม


​นอนกัดฟันและปวดขากรรไกร: ข้าพเจ้าได้ไปปรึกษาทันตแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับการสบฟันที่เน้นรักษาอาการกัดฟันตอนนอน คุณหมอได้ทำเครื่องมือครอบฟันบนให้ข้าพเจ้าซึ่งจะช่วยกันไม่ให้ฟันเสียดสีกันเองขณะนอนหลับ ซึ่งสุดท้ายเมื่อผ่านไปหลายเดือนเครื่องมือครอบฟันถึงกับทะลุแล้วก็ต้องเปลี่ยนเครื่องมืออันใหม่ ซึ่งหลังจากข้าพเจ้าใช้ไปเรื่อยๆ และคิดพิจารณาไตร่ตรองดีๆ ถึงคำพูดที่หมอบอกว่าคนที่นอนกัดฟันจะต้องใส่ครอบฟันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต นั่นก็มีความหมายเท่ากับไม่มีทางรักษาหาย เพราะเราแก้ที่ปลายเหตุตลอดคือใส่ครอบฟันเพื่อไม่ให้ฟันเสียดสีกันเองขณะกัดฟัน พอเครื่องมือทะลุก็เปลี่ยนใหม่ ไม่ได้แก้ที่อาการต้นเหตุของร่างกายที่นอนกัดฟัน ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจยุติการรักษาด้วยวิธีนี้อย่างถาวร


​ตาแห้ง: ข้าพเจ้าเคยเป็นโรคเยื่อบุตาอักเสบและเมื่อรักษาหายแล้วก็ยังมีอาการตาแห้ง ปวดตาและระคายเคืองอยู่บ่อยๆ เมื่อข้าพเจ้าได้ปรึกษาจักษุแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง หมอให้คำแนะนำว่าต้องหยอดน้ำตาเทียมไปเรื่อยๆ เวลาที่ตาแห้ง ข้าพเจ้าจึงถามหมอว่าต้องหยอดไปถึงเมื่อไหร่จึงจะหาย หมอบอกว่าต้องหยอดไปตลอดชีวิต ข้าพเจ้าพบหมอและหยอดน้ำตาเทียมต่อมาอีกระยะหนึ่งก็ไม่หายจากอาการตาแห้ง จากนั้นจึงหยุดรักษาเพราะคิดได้ว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ คือเมื่อไหร่ที่ตาแห้งระคายเคืองก็หยอดน้ำตาเทียม ไม่ใช่แก้ที่ต้นเหตุคือระบบร่างกายที่มีน้ำตามาหล่อเลี้ยงดวงตาน้อยทำให้ตาแห้ง

โดยปกติแล้วเมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นคนที่ไม่เชื่อและเข้าไม่ถึงธรรมะสักเท่าไหร่นัก เนื่องจากข้าพเจ้ามีพื้นฐานเป็นนักคณิตศาสตร์ เรียนจบคณิตศาสตร์ทั้งปริญญาตรีและปริญญาโท ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์โดยส่วนใหญ่จะยึดเหตุผลและหลักการ ทุกอย่างต้องพิสูจน์ได้จึงจะเชื่อ ซึ่งข้าพเจ้าก็เป็นเช่นนั้นคือเป็นคนที่เชื่ออะไรยากมาก ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยตนเองหรือไม่มีงานวิจัยหรือหลักฐานอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์ใดๆ รองรับยังไงก็จะไม่เชื่อข้อมูลนั้นๆ เด็ดขาด แต่จุดพลิกผันที่สำคัญก็เกิดขึ้นคือมีเหตุการณ์ที่ทำให้ข้าพเจ้าจำเป็นต้องบวชให้มารดา ข้าพเจ้าจึงบวชที่วัดเขาแผงม้า จ.โคราช(วัดหนองป่าพง สาขาที่ 164) หลังจากที่ข้าพเจ้าลาสิกขาในปี พ.ศ.2554  ข้าพเจ้าเริ่มฝักใฝ่ในธรรมะมากขึ้นและยังคงฝึกปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องทุกวัน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ข้าพเจ้าเคร่งครัดถือศีล 8 สัปดาห์ละ 5 วันและเก็บตัวฝึกสมาธิอย่างจริงจังอยู่ที่บ้านตลอดทั้งวัน โดยไม่ค่อยได้ออกไปไหนและแทบไม่ได้พูดคุยกับใคร จนอยู่มาวันหนึ่งขณะนั่งสมาธิในตอนเช้า ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างหมุนอยู่ที่หน้าผากของข้าพเจ้า และสามารถกำหนดควบคุมให้หมุนไปทางซ้ายหรือขวาได้ด้วย ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นและค้นหาข้อมูลต่อจากแหล่งความรู้ทางอินเตอร์เน็ตหลายแห่ง และค้นพบภายหลังว่านี่เป็นความลับของร่างกายที่เรียกว่า "จักระ" ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่มองไม่เห็นที่ซุกซ่อนอยู่ภายในร่างกายของมนุษย์ทุกคน ที่โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ฝึกสมาธิมามากพอจนจิตละเอียดจึงจะเริ่มสัมผัสหรือมองเห็นสิ่งนี้ได้ สิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้าสนใจฝึกสมาธิมากขึ้นไปอีกเป็นทวีคูณจนค้นพบและสามารถควบคุมจักระบนใบหน้าและลำตัวอีกจำนวนมากรวมราวๆ ร้อยกว่าจุดทั้งจักระวงหลักและวงย่อย รวมทั้งจักระที่ก่อเกิดพลังบนฝ่ามือและปลายนิ้วมือทุกนิ้ว ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าจึงสนใจศาสตร์ความรู้ในเรื่องของจิตเป็นอย่างมากโดยเน้นทั้งมุ่งฝึกด้วยตนเองและสมัครเข้าร่วมฝึกสมาธิและฝึกอบรมที่สำนักปฏิบัติธรรมและสถาบันพัฒนาทางจิตต่างๆ ทั้งหลักสูตรที่ต้องไปค้างคืนต่อเนื่องหลายวันและแบบไปเช้าเย็นกลับ รวมมากกว่า 20 แห่ง เช่น ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน นั่งฌานสมาธิ สติปัฏฐาน กรรมฐาน 40 ฝึกพลังชี่กง พลังจักรวาล พลังเรกิ สั่งจิตบำบัด(NLP) ฝึกสมาธิกสิณ วิชชาสาม ฯลฯ รวมทั้งศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองจากหนังสือธรรมะและตำราที่เกี่ยวข้องทั้งงานวิจัยและวิทยาศาสตร์ทางจิตทั้งของไทยและต่างประเทศจำนวนมาก จนรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสิ่งเหล่านี้แม้จะเข้าใจและเข้าถึงได้ยาก แต่เป็นความจริงของธรรมชาติทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมะ เรื่องกรรม หรือแม้แต่เรื่องการรักษาโรคด้วยพลังสมาธิ ซึ่งสามารถบำบัดโรคได้จริงจากต้นตอของโรค จากต้นตอการรวนผิดปกติของระบบร่างกายที่แท้จริง เป็นการรักษาและปรับสมดุลร่างกายก่อนที่โรคจะเกิดขึ้น มิใช่ที่ปลายเหตุเมื่อโรคเกิดแล้วเหมือนการใช้ยาเคมีดั่งที่ข้าพเจ้าเคยทำมาในอดีต เช่น จากเดิมที่ข้าพเจ้าต้องหยอดน้ำตาเทียมวันละหลอด ปัจจุบันก็ไม่ได้ใช้อีกเลย การหายใจก็โล่งขึ้น กลับมาทานของเย็นและของทอดได้ปกติทั้งที่แต่ก่อนทานแล้วจะเจ็บคอเสมอๆ อุณหภูมิของร่างกายกลับมาเป็นปกติมากขึ้นไม่ขี้หนาวง่ายเหมือนเมื่อก่อน ปัสสาวะกลับมาเป็นปกติ และหายจากอาการปวดขากรรไกร แขน มือและนิ้วมือ เป็นต้น โดยปัจจุบันข้าพเจ้ามีสุขภาพใจและกายที่แข็งแรงมากและไม่ได้ใช้ยาเคมีใดๆ มาเป็นเวลากว่า 6-7 ปีแล้ว

เป็นที่น่าเสียดายที่คนจำนวนมากหมดโอกาสที่จะได้เข้าถึงพลังบำบัดเพราะพวกเขามักจะติดกรอบความเชื่อแบบเดิมๆ ที่ต้องใช้ยาเคมีเข้าไปรักษาร่างกายเสมอเวลาเจ็บป่วยหรืออาจมีอคติบางประการที่มักถูกปิดกั้นด้วยความรู้ความเข้าใจเดิมของตนเองที่เคยเรียนรู้มาอย่างยาวนานจนฝังไว้แน่นหนาและไม่สามารถหลุดออกมาได้ ในจุดนี้ข้าพเจ้าขอเปรียบเทียบอธิบายให้เข้าใจอย่างง่ายๆ ว่าหากเปรียบร่างกายเป็นเสมือนประเทศหนึ่งๆ ที่มีกำลังทหารแต่ไม่เคยนำมาใช้เมื่อมีข้าศึกบุกโจมตี แต่กลับไปยืมกำลังทหารของประเทศอื่นมาช่วยรบเสมอๆ ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร? ทหารในประเทศเราที่ไม่เคยได้ฝึกฝนออกรบก็ย่อมอ่อนแอไปเรื่อยๆ แล้วก็ต้องหวังพึ่งทหารต่างแดนมาช่วยรบตลอด สุดท้ายประเทศก็ย่อมพ่ายแพ้ในที่สุด ซึ่งในที่นี้ข้าศึกเปรียบเสมือนเชื้อโรคที่บุกเข้าสู่ร่างกาย ทหารต่างแดนที่มาช่วยรบเปรียบเสมือนยาเคมี และทหารในประเทศเราเปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ เมื่อใช้ยานั่นเอง 

แม้ว่าข้าพเจ้าจะฝึกฝนพลังบำบัดมาหลายชนิด แต่สุดท้ายแล้วข้าพเจ้าเลือกเรกิในการใช้ช่วยเหลือผู้อื่น เนื่องจากพลังงานชนิดนี้มีจุดเด่นหลายประการที่แตกต่างจากพลังงานบำบัดประเภทอื่น เช่น ผู้รับการบำบัดไม่จำเป็นต้องทำสมาธิหรือกำหนดจิตใดๆ ในขณะที่รับการบำบัด ซึ่งบุคคลจำนวนมากที่ไม่ได้ฝึกสมาธิปฏิบัติธรรมมาก็สามารถเข้าถึงการบำบัดด้วยเรกิได้ ในขณะที่พลังประเภทอื่นนั้น คนที่ไม่ได้ฝึกสมาธิหรือกำหนดจิตไม่เป็นก็อาจจะไม่ได้รับผลอะไรเลย อีกทั้งยังสามารถแก้ปัญหาทางด้านอารมณ์และจิตใจของผู้รับการบำบัดทำให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อีกด้วย

ปัจจุบันข้าพเจ้าบำบัดผู้คนด้วยพลังเรกิมาแล้วราวๆ 500 เคส ซึ่งคนที่รับการบำบัดไปแล้วแจ้งผลตอบรับมามากมายในทางที่ดีขึ้น เช่น คนไข้ที่หายจากทอนซิลอักเสบเรื้อรัง คนไข้ที่หายจากอาการภูมิแพ้ คนไข้ที่หายจากมะเร็ง คนไข้บางคนปวดคอปวดหลังก็ปวดน้อยลง บางคนเคยปวดเข่าก็หายปวด บางคนปัสสาวะติดขัดก็มีอาการดีขึ้น คนที่นอนไม่หลับก็หลับได้ดีขึ้น หรือกลุ่มคนที่มีอาการทางจิตใจ เช่น คนซึมเศร้า เครียด อกหัก เสียใจผิดหวัง มีปัญหาขัดแย้งหรือทะเลาะกันบ่อยๆ หลังจากบำบัดไปเกือบทุกคนมีผลตอบรับมาว่ารู้สึกดีขึ้นและดึงดูดเรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิตมากขึ้น เป็นต้น ข้าพเจ้าตระหนักดีว่ายังมีผู้คนในสังคมอีกจำนวนมากที่ไม่รู้ความลับของพลัง
บำบัด และคนเหล่านั้นต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย หรือต้องเผชิญกับความทุกข์ทางจิตใจและไม่สามารถหลุดออกมาได้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองโชคดีมากที่ค้นพบสิ่งนี้ ข้าพเจ้าจึงต้องการอุทิศตนเพื่อส่งต่อและเผยแพร่สิ่งล้ำค่านี้ให้สังคมและผู้ป่วยที่ไร้ความหวังได้ค้นพบและมีความสุขเช่นเดียวกันกับข้าพเจ้าต่อไป